ติวสอบ Single Licence
เนื้อหาหลักของการติวสอบนี้ จะเน้นที่ข้อความ หรือ KeyWord ที่ควรจดจำและทำความเข้าใจ ..ท่านเพียงอ่านและวิเคราะห์เนื้อหาตามนี้ จะช่วยให้สามารถทำข้อสอบได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน
ตลาดที่มีประสิทธิภาพ efficient market
มี 3หน่วยวัด ดังนี้
ข้อมูลตลาด
วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
โอกาสในการสร้างกำไรเกินปกติ
โดยมี 3ระดับ ดังนี้
ระดับต่ำ
1ราคาหุ้นในตลาด
2วิธีวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อเลือกหุ้น
3กำไรเกินปกติ ทำได้ด้วย
ข้อมูลปัจจัยพื้นฐาน และ ข่าววงใน
ระดับกลาง
1ข้อมูลตลาด+ปัจจัยพื้นฐาน
2วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
3กำไรเกินปกติ สร้างได้ด้วยข้อมูลวงใน
ระดับสูง
1ข้อมูลตลาด+ปัจจัยพื้นฐาน+ข้อมูลวงใน
2กำไรเกินปกติ ไม่สามารถสร้างได้ เพราะมีข้อมูลครบ จึงประเมินและคาดการณ์ได้
ข้อมูลพื้นฐาน คือ ข้อมูลสาธารณะ
การวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต คือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค
ตลาดที่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถสร้างกำไรเกินปกติ
Asymmetric information ความไม่เท่าเทียมกันของข้อมูลข่าวสาร
การเปิดเผยข้อมูล เป็นหน้าที่ ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ข้อมูลเกี่ยวกับสถานภาพบริษัทที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและอ้อม คือ งบการเงิน และ มติการประชุม
การวิเคราะห์หลักทรัพย์
มีแค่ 2แบบเท่านั้น คือ
1การวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน
**ราคาเท่าไหร่ อัตราผลตอบแทนเท่าไหร่ ความเสี่ยงจากการลงทุนเท่าไหร่
**เป็นการวิเคราะห์เพื่อเลือกหลักทรัพย์ที่ควรจะลงทุน
2การวิเคราะห์ทางเทคนิค
**เพื่อช่วยจับจังหวะการลงทุน เช่น ควรเข้าลงทุนที่ราคาเท่าไหร่
ข้อมูลปัจจัยพื้นฐาน มี 3ระดับ ดังนี้
1ข้อมูลในระดับมหภาค คือ วิเคราะห์ข้อมูลในระดับภาค ทวีป โลก
2ข้อมูลในระดับอุตสาหกรรม คือ วิเคราะห์กลุ่มอุตสาหกรรมใดจะมีผลตอบแทนได้ดีในช่วงเวลานั้น
3ข้อมูลในระดับบริษัท คือ การวิเคราะห์ความเสี่ยงทางธุรกิจ ได้ 6วิธี โดยดูจาก
3.1 งบดุล หรือ งบแสดงฐานะทางการเงิน
3.2 งบกำไรขาดทุน
3.3 งบกระแสเงินสด
3.4 หมายเหตุประกอบงบการเงิน
3.5 งบแสดงการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น
3.6 รายงานของผู้สอบบัญชี
การวิเคราะห์หลักทรัพย์
เพื่อค้นหา มูลค่าที่แท้จริงว่า มีราคาเท่าไหร่ แล้วจึงนำไปเปรียบเทียบกับราคาในปัจจุบัน
สูตรคำนวณหามูลค่า
V > P ราคา ถูกกว่าความเป็นจริง ควรซื้อ
V < P ราคา แพงกว่าความเป็นจริง ไม่ควรซื้อ
การวิเคราะห์วัฏจักรเศรษฐกิจ มี 4รูปแบบ
1 รุ่งเรือง 2 หดตัว 3 ตกต่ำ 4 ขยายตัว
**หากเศรษฐกิจตกต่ำ ควรลงทุนในกลุ่มปัจจัยพื้นฐาน เช่น อาหาร ยา สาธารณูประโภค ภาครัฐ เพราะจัดเป็นหุ้นกลุ่มบลูชิฟ มีกำไรที่แน่นอน และ ปันผลสม่ำเสมอ
โครงสร้างการแข่งขันในแต่ละอุตสาหกรรม มี 4รูปแบบ ดังนี้
1 แข่งขันสมบูรณ์
คือ ผู้ผลิตมีมาก สินค้าเหมือนกัน เข้า-ออกได้ง่าย
2 กึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด
เช่น ธุรกิจน้ำมัน
3 ผู้ขายมีน้อยราย
เช่น ธุรกิจโทรศัพท์มือถือ
4 ผูกขาด
เช่น กิจการภาครัฐ ไฟฟ้า ประปา
วงจรการขยายตัวของอุตสาหกรรม มี 4ระยะ
1 ระยะเริ่มพัฒนา
คือ สินค้าอยูในช่วงเริ่มต้น ความเสี่ยงสูง ต้นทุนสูง ยังไม่มีฐานลูกค้า มักไม่จ่ายปันผล
2 ระยะเจริญเติบโต
คือ ช่วงที่ขายดี เริ่มมีปันผล เริ่มมีคู่แข่ง
3 ระยะขยายตัว
คือ แข่งขันสูง คู่แข่งเยอะ ขยายตัวสูง จ่ายปันผลได้ดี
4 ระยะอิ่มตัว หรือ เสื่อมถอย
คือ ความต้องการซื้อน้อย ยอดขายลดลง มีการตัดราคาสินค้า เติบโตช้าถึงไม่โต กำไรน้อย
**ช่วงที่ตลาดซบเซา หุ้นที่จ่ายปันผลดีคือ หุ้นประเภทสาธารณูประโภค หุ้นน้ำมัน
1 งบดุล คือ สินทรัพย์ : หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ
สินทรัพย์ มี2แบบ
สินทรัพย์หมุนเวียน เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ ภายในเวลา 1ปี
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน เช่น เงินลงทุนระยะยาว สินทรัพย์ถาวร ลิขสิทธิ์
หนี้สิน มี2แบบ
หนี้สินหมุนเวียน
หนี้สินไม่หมุนเวียน เช่น หนี้สินระยะยาว ส่วนของเจ้าของกิจการ
**ถ้าอยากรู้ ร.พ. กรุงเทพ มีสินทรัพย์เท่าไหร่ ต้องดูที่ งบดุล
2 งบกำไรขาดทุน เพื่อแสดงผลลัพธ์ของการประกอบธุรกิจ ว่ามีผลกำไร หรือขาดทุน
**ถ้าอยากรู้ว่าปีนี้ ร.พ.กรุงเทพ กำไร หรือ ขาดทุน และ เท่าไหร่ ต้องดูที่นี่ งบกำไรขาดทุน
ค่าเสื่อมราคา คือ ค่าสึกหรอของสินทรัพย์ **ยกเว้นที่ดิน จะไม่มีค่าเสื่อมราคา มีแต่จะราคาสูงขึ้นทุกวัน
วิธีคำนวณค่าเสื่อมราคา มี2วิธี
1 วิธีเส้นตรงตามอายุการใช้งาน ราคาซื้อ ลบ ราคาขาย คูณ ระยะเวลา
2 วิธียอดลดลงทวีคูณ **ให้คูณ2เท่า จากวิธีคำนวณแบบเส้นตรง
**ค่าเสื่อมเยอะ เสียภาษี น้อย
**ค่าเสื่อมน้อย เสียภาษี เยอะ
3 งบกระแสเงินสด คือ เงินหมุนเวียนในกิจการ หรือ สภาพคล่อง หรือ cash flow
มี3แบบ ดังนี้
1 กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน เช่นจากการขายสินค้า และบริการ
2 กระแสเงินสดจากการลงทุน เช่น ลงทุนในกิจการอื่น ลงทุนในหุ้น ไม่ได้มาจากการขายสินค้าของบริษัท
3 กระแสเงินสดจากการหาเงินทุน เช่น การได้เงินนั้นมาจากการกู้ยืม ออกหุ้นกู้ หุ้นสามัญ
4 หมายเหตุประกอบงบการเงิน คือ รายละเอียดเพิ่มเติม ที่ไม่ได้แสดงไว้ในงบดุล ไม่แสดงในงบกำไรขาดทุน และ ไม่ได้แสดงไว้ในงบกระแสเงินสด เช่น นโยบายทางบัญชี รายระเอียดของรายการสินทรัพย์ เช่น ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์
5 รายงานจากผู้สอบบัญชี คือ รายงานที่แสดงความเห็นของผู้สอบับญชี ต่อความถูกต้องของงบการเงิน เพื่อแสดงข้อเท็จจริง ให้ผู้ลงทุนได้ทราบถึงสถานะปัจจุบันของกิจการ
**หลังจากมีข้อมูลทางการเงินของบริษัทแล้ว จึงจะสามารถทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินได้
การวัดความสามารถในการทำกำไร
อัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ (ROA) คือ การวัดประสิทธิภาพสินทรัพย์ว่าเกิดเป็นกำไรได้เท่าไหร่
สูตร : กำไรจากการดำเนินงาน หาร (สินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ย หาร 2) คูณ 100 : %
อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสามัญ (ROE)
สูตร : กำไรสุทธิ หาร (ส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ย หาร 2) คูณ 100 : %
อัตราส่วนกำไรต่อหุ้น (EPS)
สูตร :
การวิเคราะห์ความเสี่ยง
สูตร : หนี้สิน หาร ส่วนของเจ้าของ
**หารแล้วได้ผลลัพธ์ยิ่งน้อยยิ่งดี คือ ความเสี่ยงต่ำ
การหาค่าความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น Short term Liquidity
สูตร : กำไรก่อนดอกเบี้ย หาร ดอกเบี้ยจ่าย : ผลลัพธ์เป็นกี่เท่า
**ค่าความเสี่ยง คือ ค่า BETA
ยิ่งได้ ค่า Beta ค่ายิ่งน้อย ยิ่งดี ยิ่งเสี่ยงต่ำ เช่น 0.2 กับ 1.6 หรือ 2.3
แล้วคำนวณกับ ราคาหุ้นที่เราสนใจ ตามสูตรการหาค่าต่างๆ จะได้คำตอบของราคาหุ้นที่เราสนใจ
ไม่ว่าจะเป็นการคำนวณในเรื่องของมูลค่าหุ้น หรือ ช่วงเวลาที่ควรซื้อหุ้น
มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น Book Value Per Share
สูตร : ส่วนของผู้ถือหุ้น หาร จำนวนหุ้น : ผลลัพธ์
**ทุน กำไรสะสม เงินสำรอง รายการอื่นๆถ้ามี คือ ส่วนของเจ้าของ
อัตราผลตอบแทนเงินปันผล Divident payout ratio
สูตร : เงินปันผล หารด้วย กำไร คูณด้วย 100 : ผลลัพธ์
สูตร สินทรัพย์ ลบด้วย หนี้สิน : สินทรัพย์สุทธิ
สูตร ราคากำไรต่อหุ้น P/E RATIO
ราคาหุ้น หารด้วย กำไรต่อหุ้น : จำนวนเท่าของการคืนทุน
**ค่า PE น้อย หมายถึง ดี คืนทุนได้เร็ว ยิ่งน้อยยิ่งดี
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
คือ การใช้ข้อมูลในอดีต มาวิเคราะห์ร่วมกับปัจจุบันโดยใช้ข้อมูลจาก 3ส่วน ดังนี้
1 ราคาหุ้น หรือ ดัชนี
2 ปริมาณการซื้อขาย
3 ช่วงเวลา
แนวคิดทฤษฎีดาว Dow Theory
กราฟของหุ้นจะเหมือนคลื่น โดยจะมีแนวโน้มได้ตั้งแต่ ขาขึ้น ไปจนถึง ขาลง
**การวิเคราะห์ทางเทคนิค ไม่สามารถบอกได้ว่าจะซื้อหุ้นตัวไหน แต่จะบอกแค่ว่าควรซื้อเมื่อใด
**การวิเคราะห์ทางพื้นฐาน จะบอกว่าควรซื้อหุ้นตัวไหน แต่จะไม่สามารถบอกได้ว่า ควรซื้อเมื่อไหร่
ค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์
ไม่ใช่มาตรวัดความเสี่ยง
แต่เป็นมาตรวัด อัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์แต่ละคู่ ว่าสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน
จะมีค่าวัดได้แค่ +1 หรือ 0 หรือ -1 เท่านั้น
ถ้า +1 คือ สัมพันธ์กัน ถ้าตัวใด+ อีกตัวก็ต้อง+ เช่นกัน **ถ้าได้ค่าแบบนี้ ถือว่าไม่ดี ต้องต่ำกว่า+1
ถ้า -1 คือ ไม่มีความสัมพันธ์กันเลย ไปกันคนละทิศทาง **แต่ถือว่าดีกว่า+1
ถ้า 0 คือ ไม่มีค่าความเบี่ยงเบนใดใดทั้งสิ้น
ตราสารทุน มี 6ประเภท คือ
1ตราสารแสดงความเป็นเจ้าของโดยตรง
หุ้นสามัญ
คือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์บนกระดานซื้อขาย
หุ้นบุริมสิทธิ
ข้อดี ปันผลคงที่ตามที่แจ้งตอนจดทะเบียน ดีกว่าหุ้นสามัญซึ่งแล้วแต่ผลประกอบการ
ยืดหยุ่นกว่าหุ้นกู้
ไม่มีกำหนดไถ่ถอ
ข้อด้อย ไม่คล่องตัว เปลี่ยนมือยาก
ไม่ได้รับประโยชน์ด้านภาษีจากเงินปันผล แต่ดอกเบี้ยของหุ้นกู้ ใช้หักภาษีได้
หากไม่จ่ายปันผล จะทำให้ยากต่อการออกหุ้นครั้งต่อไป เพราะนักลงทุนไม่เชื่อถือ
2หน่วยลงทุน
จัดจำหน่ายโดยบริษัทจัดการลงทุนเท่านั้น
ผู้ซื้อถือเป็นเจ้าของร่วมของกองทุนนั้น
มีสิทธิได้รับเงินปันผลจากผลกำไร
**หากซื้อหน่วยลงทุนจาก กองทุนปิด
ไม่รับซื้อคืน ก่อนครบอายุสัญญา
**หากซื้อหน่วยลงทุนจาก กองทุนเปิด
จำหน่าย และ รับซื้อคืน ได้ตลอดเวลา ก่อนสิ้นอายุสัญญา
3ตราสารแสดงสิทธิที่เชื่อมโยงกับหุ้นสามัญ
4ใบสำคัญแสดงสิทธิ Warrants
**หุ้นสามัญคือหุ้นตัวแม่ บริษัทเจ้าของหุ้นเป็นผู้ออก Warrants
ให้สิทธิผู้ถือครองในการจองซื้อ ตามราคาและราคาที่ระบุ
เป็น Option ที่ผู้ถือครอง จะใช้สิทธิซื้อหรือไม่ก็ได้
มีความผันผวนของราคาสูงกว่าหุ้นสามัญ เพราะมีกำหนดเวลาวันหมดอายุ
องค์ประกอบของ Warrants
ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ Derivative Warrants
ตราสารแสดงสิทธิ ที่บุคคลอื่น ออกให้แก่ผู้ลงทุน เพื่อให้สิทธิในการซื้อหลักทรัพย์อ้างอิง
โดยมี ราคา จำนวน และ เวลาหมดอายุ
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทผู้จัดจำหน่าย
ใบสำคัญแสดงสิทธิในผลประโยชน์ ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย Non-Voting Depository Receipt
เป็นทางเลือกของผู้ลงทุนจากต่างประเทศ โดยลงทุนผ่าน บริษัท ไทย เอ็นวีดีอาร์ จำกัด
5ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารทุน
หุ้นสามัญ
เสี่ยงสูง
ผลตอบแทน : กำไร ปันผล สิทธิจองซื้อหุ้นใหม่
หุ้นบุริมสิทธิ์
เสี่ยงกลาง
ผลตอบแทน : กำไร ปันผล
หน่วยลงทุน
เสี่ยงต่ำ
ผลตอบแทน : กำไร ปันผล
6Warrants
เสี่ยงสูง
ไม่มีปันผล
จำกัดผลขาดทุน
ใช้เงินลงทุนต่ำ
ผลตอบแทน : มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง
สูตรหาค่า Warrants : มูลค่าที่แท้จริง + มูลค่าของเวลา
มูลค่าที่แท้จริง มาจาก ราคาตลาดของหุ้นสามัญ ลบด้วย ราคาใช้สิทธิของWarrants
มูลค่าเวลา มาจาก มูลค่าWarrants ลบด้วย มูลค่าแท้จริง
ถาม : หุ้น ก มีราคาใช้สิทธิ 7บาท
ราคาตลาด(หุ้นสามัญ) 4บาท
มูลค่าของเวลา 2บาท
ถามว่า ..ให้คำนวณมูลค่าWarrantsตัวนี้ ได้เท่าไหร่
ตอบ : 2บาท
ถาม : ราคาตลาด 2บาท ราคาใช้สิทธิ 3บาท ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 4บาท
ถามว่า ..มูลค่าที่แท้จริง และ มูลค่าตามระยะเวลา เท่ากับเท่าใด
ตอบ : 4บาท
วิเคราะห์มูลค่าของWarrants
Delta หรือ ความอ่อนไหวของราคาWarrants ที่มีต่อหุ้นสามัญ (หุ้นแม่)
เช่น ค่า Delta เท่ากับ 2 มีผลตามหุ้นสามัญ
ถ้าหุ้นขึ้น 1บาท วอร์แรนจะขึ้น2บาท
ถ้าหุ้นลง 1บาท วอร์แรนจะลง2บาท
ถาม : สิ่งที่ทำให้ warrants มีราคาสูงขึ้น
ตอบ : อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
**หลักทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงสูงที่สุด
คือ หุ้นสามัญของบริษัทขนาดเล็ก (ชอบเสี่ยง)
*หุ้นที่ออกโดยรัฐบาลจะความเสี่ยงต่ำกว่าเสมอ (ไม่ชอบเสี่ยง)
วิธีประเมินมูลค่าหุ้นสามัญ มี 2แบบ
ประเมินจากสินทรัพย์ มี 2วิธี คือ
คำนวณราคาต่อมูลค่าทางบัญชี
ประเมินจากความสามารถหุ้นในการหารายได้ มี 2 วิธี คือ
คำนวณจากค่า PE : Price Earning Ratio
สูตร : P : PER (จำนวนเท่า) คูณ EPS
P : ราคาที่ประเมิน
PER : จำนวนเท่า อ้างอิงอัตราส่วนกำไรต่อหุ้น กับ ราคาตลาดของหุ้นตัวนั้น
EPS : กำไรสุทธิ ต่อ จำนวนหุ้น
ถาม : ประมาณกำไร 60ล้านาบาท ทุนชำระแล้ว 40ล้านบาท หุ้นสามัญตราไว้เท่ากับ 10บาทต่อหุ้น ถ้าอัตราส่วนราคาต่อกำไรเท่ากับ 8.25เท่า ..ราคาประเมินของหุ้นตัวนี้ควรเป็นเท่าไร
ตอบ : 123.75บาทต่อหุ้น
ถาม : ทุนชำระ 400ล้านบาท มูลค่าหุ้นรตาไว้ 10บาท นักวิเคราะห์ประเมินจะมีกำไรสุทธิ80ล้านบาทในปีหน้า อัตราส่วน PE คือ12เท่า และ ราคาตลาดคือ 20บาท ..ควรซื้อหุ้นตัวนี้หรือไม่
ตอบ : ควรซื้อหุ้นเพิ่ม เพราะราคายังถูกอยู่
สูตร : P : D หารด้วย K
ถาม : บริษัท กก จะจ่ายปันผลงวดละ 1.15บาท นาย ก ต้องการซื้อเพื่อลงทุนระยะยาวและต้องการปันผล 13.4%ต่อปี นาย ก ควรซื้อที่ราคาเท่าไหร่
ตอบ : 8.35บาทต่อหุ้น
**หุ้น ที่มีค่า Over : ควรซื้อ
หุ้น ที่มีค่า Under : ไม่ควรซื้อ
ภาษีของตราสารทุน
มี 2ประเภท บุคคลธรรมดา และ นิติบุคคล
บุคคลธรรมดา
กำไรจากการ ซื้อ หรือ ขาย หุ้น ไม่ต้องเสียภาษี
เงินปันผล ต้องเสียภาษีประเภทหัก ณ ที่จ่าย 10% ของเงินที่ได้ปันผล
**กิจการอาจมีหุ้นออกจำหน่ายในจำนวนน้อยกว่าจำนวนหุ้นจดทะเบียนแจ้งไว้ ก็ได้
$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$
" ตราสารหนี้ "
ถาม : เมื่อครบกำหนดชำระ บริษัทผู้ออกตราสารต้องชำระมูลค่าใดคืนให้ผู้ลงทุน
ตอบ : มูลค่าที่ตราไว้
ถาม : ซื้อหุ้นที่ตราไว้ 5000฿ ดอกเบี้ย 6ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6เดือน จำนวนดอกเบี้ยที่ผู้ออกต้องจ่ายให้นักลงทุนทุก 6เดือนคือเท่าไหร่
ตอบ : 150,000฿
**ตั๋วเงินคลัง ไม่มีการให้ดอกเบี้ย แต่จะออกเป็นส่วนลด
*****************************************
ประเภทของตราสารหนี้ แบ่งได้ 7ข้อ
1 ผู้ออกตราสารหนี้ มี 2ภาค
ภาครัฐ
ตั๋วเงินคลัง
พันธบัตรประเภทต่างๆ
ภาคเอกชน
บัตรเงินฝาก
ตั๋วแลกเงิน
ตั๋วสัญญาใช้งเงิน
หุ้นกู้
2 ชนิดของตราสารหนี้ มี 3ชนิด
ชนิดจ่ายเงินแก่ผู้ถือ
ชนิดจดทะเบียน
ชนิดจดบัญชี
3 การโอนกรรมสิทธิต้องกระทำโดยจดทะเบียน
คือ ตราสารหนี้แบบจดทะเบียน
คุณสมบัติของตราสารหนี้แบบจดบัญชี
คือ ไม่มีตราสารหนี้ในครอบครอง และ จ่ายเงินโดยโอนเข้าบัญชี
4 การจ่ายดอกเบี้ยของตราสารหนี้ มี 4แบบ
จ่ายระหว่างงวด
จ่ายเป็นงวดๆ
จ่ายแบบทบต้น
จ่ายดอกเบี้ยพร้อมทยอยคืนเงินต้น
**หุ้นกู้ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยระหว่างงวด
คือ Zero Coupon Bond
**หุ้นกู้ด้อยสิทธิ
มีสิทธิสูงกว่าหุ้นสามัญ และหุ้นบุริมสิทธิ
**หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ
มีสิทธิสูงกว่าหุ้นสามัญ และหุ้นบุริมสิทธิ และ สูงกว่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิ
5 สินทรัพย์ค้ำประกัน
หุ้นกู้มีประกัน
หุ้นกู้แบบไม่มีประกัน
6 การจ่ายดอกเบี้ยของตราสารหนี้ มี 2แบบ
จ่ายแบบคงที่
คือ จ่ายดอกเบี้ยตามที่แจ้งไว้ เช่น 4% ก็ต้อง 4%ไปตลอดสัญญา
จ่ายแบบลอยตัว
เช่น ลอยตัว MLR -2, CAP 6, FLOOR 3
ถ้า MLR 10 เท่ากับจ่าย 6 10-2 : 8
แต่ CAP กำหนดสูงสุดที่ 6
จึงจ่ายได้สูงสุดเท่ากับ 6
7 สิทธิแฝง มี 3ประเภท
หุ้นกู้แปลงสภาพ
คือ สามารถแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญได้
หุ้นกู้ที่ผู้ออกมีสิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนด
คือ ทำได้ก่อนเวลาตามราคาไถ่ถอนที่กำหนดไว้แล้ว
หุ้นกู้ที่ผู้ถือมีสิทธิเรียกคืนเงินกู้ก่อนกำหนด
คือ มีสิทธิ แต่จะทำหรือไม่ก็ได้
**ผลตอบแทน จากการลงทุนใน ตราสารหนี้
เงินได้จากกำไร จากการขาย
เงินได้จากดอกเบี้ย
เงินได้จากส่วนลด
เงินได้จากการนำดอกเบี้ยไปลงทุนต่อ
**ตราสารหนี้ กับ Duration และ Convexity
Duration
คือ อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้
ให้น้ำหนักตามมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงิมสดในตลาด
ปัจจัยที่ส่งผล ต่อ Duration
อายุคงเหลือ
อัตราดอกเบี้ยในตลาด
อัตราผลตอบแทน
**การสังเกตุค่า Duration เพื่อซื้อตราสารหนี้
ถ้าดอกเบี้ยสูงขึ้น ราคาตราสารหนี้จะลดลง
จึงต้องซื้อตราสารหนี้ที่มีค่า Duration ต่ำ เพื่อลดการขาดทุน
ถ้าดอกเบี้ยลดลง ราคาตราสารหนี้จะเพิ่มขึ้น
ต้องซื้อตราสารหนี้ที่มีค่า Duration สูง เพื่อเพิ่มกำไร
**ประโยชน์ของ Duration
ใช้เปรียบเทียบอายุเฉลี่ยของตราสาร
เป็นตัววัดการเปลี่ยนแปลงของตราสาร
วางกลยุทธ์การลงทุนได้
**ข้อจำกัดของ Duration
ใช้ได้ดีเฉพาะตราสารที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากๆ
Convexity ประโยชน์ คือ
ใช้วัดความเสี่ยงของตราสารนี้
ใช้พยากรณ์การเปลี่ยนแปลงของตราสารหนี้
การพยากรณ์จะแม่นยำกว่า Duration ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงมากๆ
*******************************************
**อัตราผลตอบแทน Yield มี 4ประเภท คือ
1 อัตราผลตอบแทนปัจจุบัน
สูตร : อัตราผลตอบแทนปัจจุบัน : จำนวนเงินดอกเบี้ยที่ได้รับ หารด้วย ราคาปัจจุบันในตลาดของตราสารหนี้
ถาม : ราคาตราไว้ที่ 1,000บาท มีอายุเหลือ 5ปี ดอกเบี้ย 3% ราคาปัจจุบัน 1,012฿ จงคำนวณค่า yield ตอบ : 2.96%
2 อัตราผลตอบแทนถึงวันครบกำหนด
3 อัตราผลตอบแทนถึงวันเรียกคืน
4 อัตราผลตอบแทนเมื่อนำรวมวันที่ได้นำไปลงทุน
**ข้อสอบมักจะออกในส่วนของ ผลตอบแทนปัจจุบัน
**เส้นกราฟที่วัดค่าต่างๆ RATIO : ยิ่งสูงยิ่งดี
**เส้นกราฟแสดงอัตราผลตอบแทน Yield Curve
คือ เส้นแสดงความสัมพันธ์ ระหว่าง อัตราผลตอบแทน กับ อายุคงเหลือของตราสารหนี้
มีเส้นกราฟอยู่ 4ประเภท
Normal
Humped
Invert
Flat
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาตราสารหนี้ มีดังนี้
1ระยะเวลาของตราสารหนี้
**มีเวลาหลือมาก ก็เปลี่ยนแปลงมาก
2อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วของตราสารหนี้
**ถ้าดอกเบี้ยหน้าตั๋วต่ำกว่าราคาตลาด หมายถึง เราจะสามารถขายได้ในราคาที่สูง
**ปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาด
1การเติบโตเศรษฐกิจ
2อัตราเงินเฟ้อ
3ความต้องการเงินทุน
**การจัดอันดับมีผลต่อความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้อย่างมาก หากภาครัฐจัดอันดับตราสารหนี้นั้นๆไว้ต่ำ
ถาม : หุ้นใดที่มีผลต่อความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุด
ตอบ : คือ หุ้นที่มีอายุเหลืออยู่น้อยที่สุด
กองทุนรวม กองทุนรวม กองทุนรวม กองทุนรวม กองทุนรวม กองทุนรวม กองทุนรวม กองทุนรวม
" กองทุนรวม " แบ่งเป็น 2กลุ่ม ดังนี้
กองทุนรวมทั่วไป มี3กลุ่ม
1กองทุนรวมตราสารแห่งทุน
ต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 65%
เน้นการเพิ่มค่าของเงินที่ลงทุน คือลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสเติบโต และ กลุ่มหุ้นที่ปันผลสูง
เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง
2กองทุนรวมตราสารแห่งหนี้
ห้ามลงทุนในตราสารทุน(หุ้น) ลงทุนได้เฉพาะ ตราสารหนี้ และ ตราสารการเงิน เช่น พันธบัตรเท่านั้น
เหมาะกับผู้รับความเสี่ยงต่ำ และ ต้องการรายได้ประจำ
กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว และสั้น
ลงทุนในตราสารหนี้ที่มากกว่า 1ปีขึ้นไปเท่านั้น
3กองทุนรวมผสม
มี 2ลักษณะ
1 ลงทุนในหุ้นได้ 35% แต่ไม่เกิน 65%
2 ลงทุนตามดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
สามารถบริหารจัดการได้ตามสถานะการณ์ เช่นช่วงเศรษฐกิจไม่ดี
เช่น มีสงคราม อาจพักการลงทุนก่อน หรือ ย้ายไปลงในพันธบัตร
กองทุนรวมพิเศษ มี7กลุ่ม
1กองทุนรวมหน่วยลงทุน Fund of Funds
เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของบริษัทอื่น
2กองทุนรวมตลาดเงิน
ลงทุนในกองทุนใดก็ได้ที่มีอายุไม่เกิน 1ปี
3กองทุนรวมมีประกัน
ต้องมีการรัปประกันและมีบริษัทค้ำประกันกองทุนนี้ด้วย
4กองทุนรวมคุ้มครองเงินต้น
ต้องคุ้มครองเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 80%
5กองทุนรวมที่มีการกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
ลงทุนแบบกระจุกตัว มุ่งเน้นหวังผลตอบแทนสูง จะเน้นลงทุนเฉพาะอุตสาหกรรม เช่นลงทุนในแบงค์ ถ้าขึ้นก็เยอะ ถ้าลงก็เละ
6กองทุนรวมดัชนี
เน้นลงทุนแบบกระจายไปในหลายๆกลุ่มอุตสาหกรรม แบบหว่านแห
ความเสี่ยงต่ำ
7กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ Foreign Invesment Fund
เน้นระดมเงินในประเทศเพื่อนำไปลงทุนในต่างประเทศ
ต้องแบ่งสำรองเงินเป็นค่าใช้จ่ายไว้ด้วย
กองทุนนั้นๆต้องเป็นสมาชิกของกลุ่มการลงทุนจากต่างเทศ ของประเทศที่จะไปลงทุนด้วย
8กองทุนรวมประเภท Feeder Fund
นำเงินทั้งหมดไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศเพียงกองเดียว
9กองทุนประเภท Umbrella Fund
ลงทุนในกองทุนย่อยอื่นๆ หลายๆกอง แต่อยู่ภายใต้ บริษัทจัดการเดียวกัน
มีความยืดหยุ่นในการวางกลยุทธ์ด้วยตนเอง
ค่าธรรมเนียม การสับเปลี่ยนกองทุนน้อยถึงไม่มี เนื่องจากเป็นการลงทุนภายในบริษัทจัดการเดียวกัน
10กองทุนรวมทองคำ Gold Fund
เน้นทองแท่ง ทองเหรียญ
เมืองไทยเป็น Feeder Fund นำเงินไปลงทุนใน Gold Fund ของต่างประเทศทดแทน
11กองทุน Hedge Fund
เน้นกลยุทธ์การลงทุนทั่วโลก เชิงรุก บุกทำลายคู่แข่ง
ความเสี่ยงสูงมาก
บริหารเงินกองมหึมา
12กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
เป็นกองทุนปิดเท่านั้น
เน้นลงทุนเฉพาะในอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น เช่น ไปบริหารอาคารเก็บค่าเช่าเป็นรายได้กองทุน
มี2แบบ
Freehold เป็นเจ้าของอสังหาสะเอง เช่น กองทุนไปซื้อโปรเจค คอนโด แล้วบริหารกิจการค่าเช่า
Leasehold สิทธิในการเช่าเพื่อหารายได้ เช่น เช่าสนามบิน30ปี เพื่อหารายได้
มีความเสี่ยง ที่เวลาะจะขาย ต้องไปขายออกในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะได้ราคาต่ำ
13กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ RMF ..Retirement Mutual Fund
ช่องทางออมเงินตอนแก่แบบสมัครใจ
เป็นกองทุนเปิด
ลงทุนไม่น้อยกว่า 3% หรือ 5,000฿
ลงทุนไม่เกิน 15% หรือ ไม่เกิน 500,000฿
กองทุนRMPหมายรวมถึง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ,กบข ,กองทุนบำนาญ
ต้องลงทุนทุกปี หรือ อย่างน้อยปีละครั้ง (ซื้อปีเว้นปีได้นะ เป็นเทคนิค)
ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5ปี (นับแบบวันชนวัน)รอรับผลประโยชน์ หรือขายคืน เมื่ออายุ 55ปี
ถ้าถือครองไม่ถึง 5ปี : ต้องเสียภาษีย้อยหลัง 5ปี
ถ้าถือครองไม่ถึง 5ปี และเลิกก่อนอายุ 55ปี : ต้องเสียภาษีย้อยหลัง 5ปีและต้องคืนสิทธิการลดภาษี และ กำไรที่ได้รับไป ต้องคิดภาษีใหม่อีกครั้ง
ไม่สามารถใช้ค้ำประกันทางกฏหมายได้
ทุกคนสามารถซื้อได้ เพราะเป็นการลงทุนเพื่อการเกษียณ
14กองทุนรวม LTF
เน้นเพิ่มผู้ร่วมลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หรือ ช่วยระดมทุนให้ตลาดหุ้นนั่นเอง
ไม่ต้องลงทุนต่อเนื่อง
ไม่เกิน 15%ของรายได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี
ถือครองครบ 5ปี จึงจะขายได้
หากทำผิดเงื่อนไข ซึ่งมีข้อเดียวคือ ขายก่อน 5ปีปฏิทิน ต้องคืนภาษีย้อนหลัง โดยกำไรจากการขายจะนำไป
คำนวณภาษีเงินได้ และต้องเสียดอกเบี้ย 1.5%ต่อเดือน
LTF คือ กองหุ้น จึงมีความเสี่ยง เพราะจะนำเงินไปลงทุนในหุ้น
เป็นกองทุนเปิด
ใช้หักภาษีได้ถึงปี 2559เท่านั้น *หักภาษีได้หนึ่งครั้งในปีที่ซื้อเท่านั้น
15กองทุน ETF
เน้นการลงทุนเชิงรับ เน้นปลอดภัย ไม่ต้องปรับพอร์ตการลงทุนบ่อยๆ
เป็นกองทุนเปิด โดยบริษัทจัดการ จะขาย และ รับซื้อคืนหน่วยลงทุน
ต้องมีบัญชีหลักทรัพย์ ซื้อ-ขาย ผ่านตลาดหุ้นเท่านั้น
มี 3ประเภท
กองทุนรวมเปิด
กองทุนทรัสต์
กองทุนแกรนด์เทอทรัสต์ **ไม่สามารถปรับเปลี่ยนการลงทุนได้
ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวม
คือ ผลกำไรจากการลงทุนในหน่วยลงทุน และ เงินปันผล **บางกองทุนไม่จ่ายปันผล
การคำนวณมูลค่าทรัพย์สิน
สูตร : มูลค่าทรัพย์สินตามราคาตลาด บวก รายได้ค้างรับ บวก เงินสด ลบ หนี้สิน หารด้วยจำนวนหน่วยลงทุน
ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกำไร-ขาดทุน
1ดอกเบี้ย
2เศรษฐกิจรายอุตสาหกรรม การเมือง
3ราคาหุ้นที่กองทุนลร่วมลงทุนและสภาวะตลาด
การกำหนดราคาของหน่วยลงทุน
ราคาตอนรับซื้อคืน bid price
ราคาตอนเสนอขาย selling price
**ส่วนต่างของราคาซื้อขาย อยู่ที่1-5%
ผลตอบแทนจากการลงทุน
*สำหรับบุคคลธรรมดา
กำไรจากการขาย ได้ยกเว้นภาษี
กำไรจากเงินปันผล ใช้หักณ.ที่จ่ายได้ 10% หรือ นำไปรวมกับเงินได้เพื่อคำนวณเสียภาษีก็ได้
*สำหรับนิติบุคคล
นำไปหักเป็นรายจ่ายนิติบุคคลได้
กำไรจากเงินปันผล ใช้หักณ.ที่จ่ายได้ 10% หรือ นำไปรวมกับเงินได้เพื่อคำนวณเสียภาษีก็ได้
หนังสือชี้ชวน
คือ เอกสารระบุรายละเอียดเกี่ยวกับกองทุนรวม
ประกอบด้วย 2ส่วน
1ข้อมูลโครงการ
2ข้อมูลสำคัญ
**บริษัทที่บริหารกองทุน มีหน้าที่ต้องปรับปรุงให้ทันสมัยทุกรอบบัญชี
ข้อดี ของกองทุนรวม
จัดการโดยมืออาชีพ เรียกว่า ผู้จัดการกองทุน และ ทีมงาน
ลดความเสี่ยงด้วยการกระจายลงทุน
มีนโยบายหลากหลาย
ประหยัดเวลา และ ค่าใช้จ่าย กรณีลงทุนเอง
ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อ-ขาย
มีสภาพคล่อง เพราะเงินเยอะ
ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
มีอำนาจต่อรอง เหมือนพ่อค้าซื้อของเยอะก็ได้ทุนต่ำ
มีกลไกคอยคุ้มครองปกป้อง คปภ. และ กลต.
ข้อเสีย ของกองทุนรวม
มีค่าธรรมเนียม
ไม่ยืดหยุ่น
ไม่ทันสมัย
**การลงทุนในตลาดทุน มีความเสี่ยงสูง
**การลงทุนในตลาดเงิน มีความเสี่ยงต่ำ
ลักษณะความเสี่ยงในการลงทุนมี 5 ประเภท
1ระมัดระวัง เสี่ยงต่ำ คือ ตั๋วเงิน พันธบัตรรัฐบาล
2เน้นรายได้ เสี่ยงปานกลาง-ต่ำ คือ พันธบัตร หุ้นกู้
3ชอบสมดุล เสี่ยงกลาง มีปันผล คือ การลงทุนในบริษัทใหญ่ มีความมั่นคง เช่น หุ้นสาธรณูประโภคของรัฐ
4อยากเติบโต เสี่ยงสูง เน้นกำไร โดยส่วนใหญ่เป็นบริษัทเกิดใหม่ หรือมีการร่วมทุน (ตลาดหุ้นMAI)
5อยากรวยเร็วๆ เสี่ยงสูงมาก โดยส่วนใหญ่ เป็นบริษัทขนาดเล็ก เพราะมีโอกาสเติบโตสูง (ตลาดMAI)
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
คือ กองทุนที่มีไว้เป็นสวัสดิการให้พนักงานเมื่อยามเกษียณ
คือ ผลประโยชน์ของลูกจ้าง
ลงทุนได้ 2-15% ของค่าจ้าง
ผู้เกี่ยวข้อง คือ นายจ้าง + ลูกจ้าง + คณะกรรมการกองทุน (คนในองค์กรนั้นๆตั้งกันเอง)
ต้องนำเงินกองทุนไปจ้าง บลจ และ กลต บริหารจัดการให้
ผู้รับฝากคือสถาบันการเงินที่ กลต รับรอง
ผู้สอบบัญชี ต้องได้รับการรับรองจาก กลต (ผู้สอบบัญชีโดยทั่วไป ทำไม่ได้)
นายทะเบียน มีหน้าที่ตรวจสอบ
ข้อดี ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
หลักประกันตอนเกษียณ
สวัสดิการจูงใจพนักงาน
ลดหย่อนภาษี
ข้อเสีย ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เป็นภาระของนายจ้าง
มีค่าใช้จ่าย
ต้องทำงานอย่างน้อย 5ปี จึงมีสิทธิทางภาษี
***กองทุนรวมของไทย เป็นแบบเปิด คือ สมัครใจ บางบริษัทไม่จัดทำให้พนักงานก็ได้ : ไม่ดี
***กองทุนรวมของสิงค์โปร์ เป็นแบบปิด คือ ภาคบังคับ ทุกองค์กรต้องมีให้เป็นสวัสดิการพนักงาน :ดีมาก
กองทุนส่วนบุคคล
ไม่เป็นนิติบุคคล
ข้อดี ของกองทุนส่วนบุคคล
มีมืออาชีพบรอหาร
เพิ่มโอกาสลงทุน
ยืดหยุ่นสูง
ข้อเสีย ของกองทุนส่วนบุคคล
ไม่ได้สิทธิภาษี
มีค่าใช้จ่าย
*เหมาะกับการได้รับคำแนะนำจากมืออาชีพ ไม่มีเวลาบริหารเอง
กลยุทธ์การลงทุนในกองทุนรวม
Dollar cost averaging
ง่าย ยอดนิยม วางแผนได้ ลงทุนด้วยเงินจำนวนครั้งละเท่าๆกัน
และสม่ำเสมอในช่วงเวลาที่เท่ากัน เป็นลักษณะการเก็บสะสม เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง
Share cost averaging
ยาก ผันผวน ปรับกลยุทธ์บ่อย ลงทุนด้วยจำนวนหน่วยของหุ้นที่ต้องการ
เช่น ต้องการหุ้น A เดือนละ 5,000หุ้น โดยไม่คำนึงว่าราคาจะเท่าไหร่
**ลักษณะจะคล้ายๆ พวกนักเล่นหุ้นสั้นๆในตลาด คือค่อยเติมจำนวนเพื่อมาเฉลี่ยราคา
ผู้แนะนำการลงทุน
คือ ผู้ที่มีใบอนุญาตเป็นผู้แนะนำด้านการลงทุน เรียกว่า " IC Licence "
ข้อห้ามสำหรับการเป็นผู้แนะนำการลงทุน
เป็นบุคคลล้มละลาย
มีรายชื่อ black list
อยู่ระหว่างดำเนินคดีเกี่ยวกับธุรกิจการเงิน
อยู่ระหว่างสั่งพักการเป็นผู้จัดการกองทุน
มีประวัติถูกปลด ไล่ออก
บทลงโทษ
ภาคทัณฑ์
พักงาน
เพิกถอนใบอนุญาต
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น