เตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต
เพื่อที่ผู้บริจาค จะไม่ต้องเสียเวลาโดยไม่จำเป็น ในการรอบริจาค ผู้บริจาคควรสำรวจตนเองว่า มีคุณสมบัติเพียบพร้อมสำหรับการบริจาคหรือไม่ ซึ่งผู้บริจาค ควรมีคุณสมบัติต่างๆ ดังนี้
1.เป็นผู้มีอายุระหว่าง 17 - 60 ปี
2.มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง น้ำหนักตั้งแต่ 45 กิโลกรัมขึ้นไป
3.ไม่มีประวัติการเป็นโรคมาลาเรีย ในระยะ 3 ปี
4.ไม่มีประวัติเป็นโรคตับอักเสบ หรือดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง
5.ผู้หญิง ไม่อยู่ในระยะประจำเดือน หรือ มีครรภ์
6.ไม่ควรบริจาคหลังทำการผ่าตัด ในระยะ 6 เดือน
7.ผู้เคยรับโลหิตงดบริจาค 1 ปี
8.งดสูบบุหรี่ก่อนบริจาค 12 ชั่วโมง
9.ไม่ทานยาแก้อักเสบก่อนบริจาค 1 สัปดาห์
10.ไม่ได้รับเลือดจากผู้อื่นมาระยะ 6 เดือน
11.ไม่ได้รับวัคซีนภายใน 14 วัน เซรุ่มภายใน 1 ปี
12.ไม่ได้มีสัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่มิใช่คู่สมรส
13.มีการนอนหลับสนิท ไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง
14.ไม่มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อการบริจาคโลหิต
เช่น กามโรค โรคติดเชื้อต่าง ๆ ไอเรื้อรัง ไอมีโลหิต โลหิตออกง่ายผิดปกติ หยุดยาก
โรคเลือดชนิดต่าง ๆ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ โรคลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง โรคหัวใจ
โรคไต โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ มะเร็ง หรือโรคอื่นๆ
15.ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ หรือสำส่อนทางเพศ
ได้แก่ ท่านหรือคู่สมรสของท่าน เคยมีเพศสัมพันธ์กับหญิงหรือชาย ที่ขายบริการทางเพศ
หรือ มีเพศสัมพันธ์แบบชายรักชาย
16.ไม่ทำการเจาะหู สัก ลบรอยสัก ฝังเข็มในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา
17.ไม่มีประวัติติดยาเสพติด หรือเคยเป็นผู้ที่เสพยาเสพติดโดยใช้เข็มฉีดยา
18.ไม่เป็นผู้ติดเชื้อเอดส์
19.สตรีไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน ตั้งครรภ์หรือ ให้นมบุตร
และไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา
20.งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนบริจาค
21.รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กเพิ่ม
2.มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง น้ำหนักตั้งแต่ 45 กิโลกรัมขึ้นไป
3.ไม่มีประวัติการเป็นโรคมาลาเรีย ในระยะ 3 ปี
4.ไม่มีประวัติเป็นโรคตับอักเสบ หรือดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง
5.ผู้หญิง ไม่อยู่ในระยะประจำเดือน หรือ มีครรภ์
6.ไม่ควรบริจาคหลังทำการผ่าตัด ในระยะ 6 เดือน
7.ผู้เคยรับโลหิตงดบริจาค 1 ปี
8.งดสูบบุหรี่ก่อนบริจาค 12 ชั่วโมง
9.ไม่ทานยาแก้อักเสบก่อนบริจาค 1 สัปดาห์
10.ไม่ได้รับเลือดจากผู้อื่นมาระยะ 6 เดือน
11.ไม่ได้รับวัคซีนภายใน 14 วัน เซรุ่มภายใน 1 ปี
12.ไม่ได้มีสัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่มิใช่คู่สมรส
13.มีการนอนหลับสนิท ไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง
14.ไม่มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อการบริจาคโลหิต
เช่น กามโรค โรคติดเชื้อต่าง ๆ ไอเรื้อรัง ไอมีโลหิต โลหิตออกง่ายผิดปกติ หยุดยาก
โรคเลือดชนิดต่าง ๆ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ โรคลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง โรคหัวใจ
โรคไต โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ มะเร็ง หรือโรคอื่นๆ
15.ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ หรือสำส่อนทางเพศ
ได้แก่ ท่านหรือคู่สมรสของท่าน เคยมีเพศสัมพันธ์กับหญิงหรือชาย ที่ขายบริการทางเพศ
หรือ มีเพศสัมพันธ์แบบชายรักชาย
16.ไม่ทำการเจาะหู สัก ลบรอยสัก ฝังเข็มในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา
17.ไม่มีประวัติติดยาเสพติด หรือเคยเป็นผู้ที่เสพยาเสพติดโดยใช้เข็มฉีดยา
18.ไม่เป็นผู้ติดเชื้อเอดส์
19.สตรีไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน ตั้งครรภ์หรือ ให้นมบุตร
และไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา
20.งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนบริจาค
21.รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กเพิ่ม
การบริจาค
เมื่อถึงหน่วยบริจาครับบริจาคโลหิต จะมีผู้เชี่ยวชาญหรือเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน
นำใบกรอกเพื่อเขียนประวัติของผู้บริจาคและเซ็นชื่อยินยอม และยอมรับว่าข้อมูลทั้งหมดเป็นความจริง
นำใบกรอกเพื่อเขียนประวัติของผู้บริจาคและเซ็นชื่อยินยอม และยอมรับว่าข้อมูลทั้งหมดเป็นความจริง
เมื่อกรอกเรียบร้อยจะถึงขั้นตอนการวัดความดัน และตรวจโลหิตขั้นต้น
เพื่อคัดกรองโลหิตในขั้นต้น และเพื่อความปลอดภัยของผู้บริจาคเอง
เพื่อคัดกรองโลหิตในขั้นต้น และเพื่อความปลอดภัยของผู้บริจาคเอง
หลังจากนั้นผู้บริจาคจะถูกพามานอนบนเตียงบริจาคเพื่อเจาะเข็มเข้าเส้นเลือด
เพื่อนำโลหิตใส่ยังถุงโลหิต เป็นจำนวน 350 - 450 มิลลิลิตร
เจ้าหน้าที่นำเข็มเจาะออก ควรนอนพักเพื่อปรับสภาพสักครู่
เพื่อนำโลหิตใส่ยังถุงโลหิต เป็นจำนวน 350 - 450 มิลลิลิตร
เจ้าหน้าที่นำเข็มเจาะออก ควรนอนพักเพื่อปรับสภาพสักครู่
เมื่อลุกออกจากเตียง ควรรับอาหารว่าง ที่ทางหน่วยบริการจัดเตรียมไว้
ซึ่งหลักๆ ได้แก่ น้ำหวาน (น้ำแดง) และ ขนมที่ทำมีธาตุเหล็ก พร้อมทั้งรับ ธาตุเหล็กกลับไปรับประทาน
ซึ่งหลักๆ ได้แก่ น้ำหวาน (น้ำแดง) และ ขนมที่ทำมีธาตุเหล็ก พร้อมทั้งรับ ธาตุเหล็กกลับไปรับประทาน
การปฏิบัติตัวหลังการบริจาค
หลังจากการบริจาคโลหิตแล้ว ผู้บริจาคควรปฏิบัติตนหลังการบริจากตามคำแนะนำ เพื่อประโยชน์ของผู้บริจาคเอง ดังนี้
- ดื่มน้ำมากกว่าปกติหลังบริจาคเป็นเวลา 2 วัน
- งดออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อหลังการบริจาค หลีกเลี่ยงการทำซาวน่า
- ผู้บริจาคโลหิตที่ทำงานใช้แรง หรือใช้กำลังมาก ควรหยุดพักหนึ่งวัน
- รับประทานยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละ 1 เม็ด เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก
- หลีกเลี่ยงการใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ เป็นเวลา 12 ชั่วโมง
- งดออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อหลังการบริจาค หลีกเลี่ยงการทำซาวน่า
- ผู้บริจาคโลหิตที่ทำงานใช้แรง หรือใช้กำลังมาก ควรหยุดพักหนึ่งวัน
- รับประทานยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละ 1 เม็ด เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก
- หลีกเลี่ยงการใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ เป็นเวลา 12 ชั่วโมง
ประโยชน์ของการบริจาคโลหิต
1.ได้รับความภาคภูมิใจ ในการบริจาค
2.ได้รับทราบหมู่โลหิตของตนเองในระบบ ABO และ ระบบ RH
3.เสมือนได้รับการตรวจสุขภาพร่างกาย เนื่องจาก โลหิตที่ได้รับบริจาค
ต้องผ่านกระบวนการในห้องปฏิบัติการ หากเป็นโรคร้ายแรง ทางสภากาชาดจะส่งเอกสารข้อมูลไปยังที่อยู่ที่ลงทะเบียนไว้
4.ช่วยชีวิตผู้อื่นที่ต้องการเลือด เป็นการใช้ชีวิตต่อชีวิต
2.ได้รับทราบหมู่โลหิตของตนเองในระบบ ABO และ ระบบ RH
3.เสมือนได้รับการตรวจสุขภาพร่างกาย เนื่องจาก โลหิตที่ได้รับบริจาค
ต้องผ่านกระบวนการในห้องปฏิบัติการ หากเป็นโรคร้ายแรง ทางสภากาชาดจะส่งเอกสารข้อมูลไปยังที่อยู่ที่ลงทะเบียนไว้
4.ช่วยชีวิตผู้อื่นที่ต้องการเลือด เป็นการใช้ชีวิตต่อชีวิต
ที่มา : สภากาชาดไทย
***สำหรับการบริจาคเลือด สามารถบริจาคได้ทุกโรงพยาบาลในกำกับของกระทรวงสาธารณสุขครับ หรือหน่วยรับบริจาคฯ ครับ**
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น